ธปท.ยันยังไม่ใช้นโยบายการเงิน สกัดเงินเฟ้อติดลบ

  • 11 May 2020
  • 1090
หางาน,สมัครงาน,งาน,ธปท.ยันยังไม่ใช้นโยบายการเงิน สกัดเงินเฟ้อติดลบ

ธปท.ยันยังไม่ใช้นโยบายการเงิน สกัดเงินเฟ้อติดลบ ประเมินจีดีพีใกล้เคียงสภาพัฒน์ที่ 0.8% แต่มองบริโภคเอกชนชะลอตัวมากกว่าคาดการณ์ เชื่อต้องใช้เวลาอีกระยะจับจ่ายจะเพิ่มขึ้น ไม่กังวลเงินทุนไหลออก ชี้ค่าบาทยังมีเสถียรภาพ...

เมื่อวันที่ 17 ก.พ. นายจิรเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ขณะนี้จะยังไม่ใช้นโยบายการเงินเพื่อสกัดปัญหาอัตราเงินเฟ้อติดลบ ที่เป็นผลมาจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง หลังจากที่ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่าอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ของไทยในเดือน ม.ค.58 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.4% ดังนั้น ในส่วนของนโยบายการเงินคงไม่ต้องดำเนินการอะไรเป็นพิเศษ โดยธปท.ยังเชื่อว่าทั้งปีอัตราเงินเฟ้อจะยังขยายตัวเป็นบวก

ขณะที่สภาพัฒน์ประกาศตัวเลข GDP ในปี 57 ว่าขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.7% นั้น ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่ ธปท.ประเมินไว้ที่ 0.8% แต่ทั้งนี้มองว่าการบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งมีสาเหตุจากรายได้ภาคการเกษตรตกต่ำติดต่อกันเป็นปีที่ 3 และคาดว่ารายได้ภาคเกษตรในปีนี้จะยังชะลอตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะมีผลต่อการบริโภค เพราะรายได้ภาคเกษตรคิดเป็น 11% ของรายได้รวมของประเทศ อันจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย

ส่วนความเชื่อมั่นในการบริโภคช่วงไตรมาส 4/57 ลดลงจากไตรมาส 3/57 ซึ่งจากที่ ธปท.ได้ติดตามสถานการณ์ก็พบว่าความเชื่อมั่นในการบริโภคเดือน ม.ค.57 ยังคงทรงตัว รวมทั้งหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 84.7% ของ GDP

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยที่ดีจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีเงินเหลือสำหรับการจับจ่ายใช้สอยในด้านอื่นๆ แต่คงต้องใช้เวลาอีกระยะจึงจะเห็นว่ามีการจับจ่ายเพิ่มขึ้นในส่วนใด ซึ่งการบริโภคที่ฟื้นตัวนั้นจะต้องดูจากสินค้าคงทน เพราะหากเริ่มมีการซื้อสินค้าคงทนก็เท่ากับเห็นสัญญาณการบริโภคที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น

ขณะที่การส่งออกในปี 58 นั้น ธปท.ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงในเรื่องของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากสินค้าในกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดต่ำลง โดยสินค้าโภคภัณฑ์มีสัดส่วน 18% ของมูลค่าการส่งออกโดยรวม ทำให้ ธปท.คาดว่าการส่งออกในปีนี้คงจะอยู่ที่ประมาณ 1% ซึ่งต่ำกว่าที่ สศช.ประเมินไว้ที่ 3.5%

พร้อมย้ำ ธปท.ไม่ได้กังวลต่อสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วงนี้ เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี 58 ที่ผ่านมา ยังไม่พบความผิดปกติของเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยรวมแล้วเงินลงทุนในหลักทรัพย์ไหลออกสุทธิตามการไหลออกของเงินทุนจากตลาดพันธบัตร (ม.ค.-5 ก.พ.58 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 418 ล้านดอลลาร์) แม้จะมีเงินทุนไหลเข้าสุทธิในตลาดหุ้นไทย (ม.ค.-13 ก.พ.58 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 108 ล้านดอลลาร์)

“เดือน ม.ค.58 เงินทุน ไหลออกจากทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรรวมกว่า 300 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นการไหลออกจากตลาดพันธบัตร ขณะเดือน ก.พ.58 เงินทุนในหลักทรัพย์ไหลเข้าสุทธิตามการไหลเข้าของเงินทุนในตลาดหุ้นไทยกว่า 200 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ เงินทุนยังคงไหลออกจากตลาดพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีมีเงินทุนไหลออก 310 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเงินทุนที่ไหลออกนั้นเป็นการปรับตัวตามตลาดสหรัฐฯ ที่เริ่มฟื้นตัวตามทิศทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ธปท.จะติดตามสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด และเข้าใจดีว่าที่หลายฝ่ายแสดงความกังวลเพราะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจมหภาค”

ส่วนการติดตามผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้น พบว่าเงินบาทยังมีเสถียรภาพ แม้จะมีการไหลออกในหลักทรัพย์ แต่ในส่วนของการลงทุนโดยตรง (FDI) ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี โดย ณ สิ้น ธ.ค.57 มูลค่า FDI อยู่ที่ 560 ล้านดอลลาร์

สำหรับประเด็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น จากหารือกับผู้ประกอบการในขณะนี้ยังไม่ได้เป็นประเด็นที่เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจ ซึ่งการจะกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ธปท.มองว่าต้องผสมผสานร่วมกันระหว่างนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง และมองว่าการใช้นโยบายการคลังจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วกว่าการใช้นโยบายการเงิน เช่น การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในโครงการลงทุนต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นมากขึ้น.

JOBBKK.COM © Copyright All Right Reserved

Jobbkk has only one website. In no case, we have an affiliate, agent or appointee. Please do not rely on any other website, email, telephone, SMS or other contacting channel. If it is a case, we will prosecute under a lawsuit in the upmost as allowed. DBD

Top